เทศน์เช้า

ธรรมอิสระ

๑๓ ต.ค. ๒๕๔๒

 

ธรรมอิสระ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๔๒
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ลึกซึ้งจนเป็นการตรึกไม่ได้ ศาสนานี้ลึกซึ้งมาก เป็นการตรึกไง ตรึก วิตกวิจารไม่ได้ อันนี้มันเป็นการตรึกเอา เพราะว่าในการตรึกเอานะ ตรึกเอาเพราะว่าเขาว่าไง เขาบอกว่าไม่มีองค์ศาสดา เขาไม่มีครูบาอาจารย์เป็นตัวตนใช่ไหม ๑. ไม่มีอาจารย์เป็นตัวตน ๒. ให้คุรุในตัวเองสอนขึ้นมา อยู่ในหลุมขี้ อยู่ในถ้ำ อยู่ในวัวแม่ลูกอ่อน แล้วมันสว่างโพลงขึ้นมา เหมือนธรรม เห็นไหม เวลาพวกเราปฏิบัติเราจะรู้กัน เวลาธรรมมันเกิด

เวลาธรรมมันเกิด มันสว่างมาก มันจะรู้อะไรไปหมดเลย แต่ความรู้นั้น เห็นไหม ห้ามถาม ห้ามทุกอย่าง ห้ามบอก มันไม่มีเหตุไม่มีผลไง ศาสนาพุทธเรา มคฺค อริสจฺจํ ใช่ไหม จิตนี้สงบเข้าไป พอสงบเข้าไปแล้วนี่มันค่อยๆ ยกขึ้นวิปัสสนาแล้วก็สรุปตบท้ายด้วย ของเขาเองสรุปตบท้ายเลยว่า ถ้า...ของเขานะ สมาธิเหมือนฝนตก กับฌานเหมือนละอองฝน แล้วสมถกรรมฐานเล็กเหมือนปลายเข็ม..เขาว่า เล็กเหมือนปลายเข็มนะ แล้วสมาธิมันไม่สัมผัส แล้วสมาธิมันเป็นอะไรล่ะ สมาธิมันก็สมถะอยู่แล้ว

แต่เขาบอกว่าถ้าเป็นสมาธิของเขานะ เป็นสมาธิความว่างนี่มันกว้างขวาง แต่ถ้าเป็นสมถะมันเล็กเหมือนปลายเข็ม ไม่เข้าใจเลยว่าตัวเองพูดว่าตัวเองอยู่นั้นยังไม่เข้าใจเลย ว่าสมถะนี้เล็กเหมือนปลายเข็ม สมถกรรมฐานคือการทำสมาธินั่นแหละ แต่นี้เพียงแต่ว่าแบ่งแล้ว ถ้าอย่างโน้นมันไม่เข้า อย่างนี้มันเข้า อย่างนั้นไม่เข้า อย่างนี้เข้า

มี...จำได้ไหม ตอนเราไปปากท่อไปเจออย่างนี้แหละ เจอพระนะเขาร่ำลือนะว่าพระองค์นี้สำคัญมาก เราก็ไปหา เขาบอกว่า เขาอยู่ในถ้ำ กลัวผีมากเลย กลัวจนตัวสั่น เสร็จแล้วจนกลายเป็นกล้าหาญขึ้นมาเลย เขาบอก เขาสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว

เราบอก ไม่ใช่หรอก เราไปคุยนะ ถ้าพระอรหันต์มันต้องผ่านขันธ์ขึ้นมาก่อน อย่างนั้นเราเป็นพระอนาคา ถ้าพระอนาคาต้องละกามราคะต้องละอันนี้ได้นะ อย่างนั้นอะไร เป็นพระสกิทา พระสกิทามันก็ต้องแยกกายกับจิตออกจากกันนะ อย่างนั้นเราเป็นพระโสดาบัน พระโสดาบันต้องแยกกาย จนยอมรับว่าไม่มีอะไรเลย ที่ปากท่อนี่ พระหลายองค์เราไปด้วยกัน เห็นไหม

เพราะเขาไปอยู่ในถ้ำเขากลัวมาก แล้วเขาชนะความกลัวนั้น เขาว่านั่นสำเร็จแล้วไง แล้วไม่มีใครพูดว่าเขา เราก็ไม่ได้ว่าเขานะ เราไปด้วยแบบว่า นึกว่าเขาอยู่ด้วยตัวของเขาเอง นี่พระองค์นี้ไปด้วยกัน ต่อหน้าเลยไปถาม เขาบอกว่า เขาชนะความกลัว นี่ตรึกเอา

การเอาชนะความกลัว จิตมันก็สงบ มันก็สงบได้ พอความสงบอันนี้เกิดขึ้นมันมีความกล้าหาญขึ้นมา อาจารย์มหาบัวเล่าให้ฟัง ว่าอยู่ในป่ากลัวมาก กลัวเสือมาก จนใช้ปัญญาไล่ไง เสือมันมีลายเราก็มีลาย เสือมีขนก็มีขน ทุกอย่างมีเหมือนกัน เรากลัวอะไรมัน พอปัญญามันไล่สงบไป ความสงบของปัญญานี่มันอาจหาญกล้าหาญเข้าไปลูบหัวเสือได้เลย แต่มันชนะความกลัวอันนั้น ความกลัวนั้นมันเป็นกิเลสอันหนึ่ง ความกลัวและความกล้ากิเลสทั้งหมด แล้วพอมันสงบตัวลงกับมันขาดนี่มันต่างกัน เพราะความกลัวหรือความกล้าหรือความรู้สึกนี่มันเป็นอาการของใจ

สังโยชน์มันอยู่ที่ใจ ตัวใจคือตัวเหตุ ตัวใจนี้เป็นตัวก่อเกิดแล้วมันติดขึ้นมาเป็นอาการ อาการที่สงบเข้าไปมันไม่ได้เป็นไม่ได้แก้ตัวเหตุ ตัวเหตุคือตัวใจ เหตุใช่ไหม เหตุคือตัวใจใช่ไหม เราเป็นหนี้ ความเป็นหนี้ ตัวที่ว่าเราเป็นหนี้ หนี้เกิดจากเราใช่ไหม ถ้าเราชำระหนี้ก็คือหนี้เรา

นี่ก็เหมือนกัน อาการกลัว อาการกล้า อาการฟังสิ อาการนี่เป็นเงาของใจเปล่า แล้วเงาดับไปตัวใจมันได้อะไรขึ้นมา ได้ความองอาจกล้าหาญ นี่คือการทำสมาธิไง แล้วต้องย้อนเข้าไปที่ตัวใจเพราะใจมันมีสังโยชน์ผูกมัดอยู่ ต้องตามเข้าไปที่ตรงใจนี้ ถึงว่าพอจิตมันสงบเป็นสมถะแล้วนี่ถึงจะเป็นโลกุตตระไง ถ้าจิตมันสงบเข้าไปแล้วมันถึงจะยกขึ้นวิปัสสนา ยกขึ้นไง ยกขึ้นวิปัสสนาแล้วมันถึงเข้าไป นี่หลักการของ มคฺค อริยสจฺจํ

แต่ไอ้หลักการอิสระของเขานี่ไม่ต้องทำอะไรเลย ใช้แบบ... สอนแบบมหายานไง แล้วใช้ตรึกเอา ใช้การพูดให้เข้าใจ การพูดให้เข้าใจนี่ผู้ปฏิบัติของฝ่ายเราจะรู้จัก เพราะเวลาเขาเรียกธรรมมันเกิด เวลาจิตสงบเข้าไปนี่มันจะเกิดความรู้ขึ้นมาแวบขึ้นมาหมดเลย

อาจารย์มหาบัวท่านบอกว่า ของท่านเกิดเป็นภาษาไทย จะมีทุกคน เรื่องนี้จะมีทุกคนเลยไอ้เรื่องธรรมเกิดนี่ มันจะมีความรู้สึกเกิดขึ้นเหมือนกับปัญญาเราเกิดขึ้น นี่เขาเรียกธรรมมันเกิด แต่อาจารย์เราเวลาสอนพระบอกว่า อันนี้คือกิเลสมันเกิด แต่ตามหลักในพระไตรปิฎกว่าธรรมมันเกิดจริงๆ นะ ไม่ได้กล่าวตู่พุทธพจน์หรอก เพียงแต่เอามากำราบให้ลูกศิษย์ระวังตัวไง ว่าเวลามันเกิดขึ้นนี่มันเป็นธรรมจริงๆ โดยธรรมชาติของมัน

อย่างเช่นเราคิดตรึกอะไรอยู่แล้วความคิดมันเกิดขึ้นนี่ธรรมมันเกิด แต่พอเกิดขึ้นมาแล้วนี่ถ้าคนไม่ได้ก้าวเดินไปข้างหน้า มันจะติดอารมณ์อันนี้ไง อยากได้อย่างนั้น อยากเข้าใจอย่างนั้น นี่กิเลสมันเกิดขึ้นเพราะความอยาก แต่ตัวเนื้อหาสาระมันคือธรรม แล้วก้าวเดินต่อไปมันจะละเอียดขึ้นไป นี่ธรรมมันเกิด อันนี้ก็เหมือนกัน นี่คือว่ามันตรึกเอาไง ความตรึกเอามันไม่ใช้ปัญญา มันไม่ มคฺค อริยสจฺจํ มันเป็นความตรึกเอา ถ้ามันเป็นก็เป็นจินตมยปัญญา นี่การเป็นจินตมยปัญญาแล้วตรึกเอา

ถ้าเป็นภาวนามยปัญญาแล้วอยู่ในหลักเกณฑ์นะ มันจะไม่ออกไปนอกลู่นอกทางอย่างนี้หรอก นี่เวลาว่านะได้ยินอยู่ เพราะว่าลูกศิษย์เขามาคุยกับเรามาก ว่าพระที่ไหนเข้าทรง เขาจะติดพระองค์อื่นมากเลย แต่มุมกลับเขาก็เข้าทรง แปลกนะ หลักการคือการประทับทรงนี่ทับจิตนะ จิตมันซ้อนเข้าไปคร่อมกัน เห็นไหม จิต ๒ จิตมันอยู่คร่อมกันแสดงว่าจิตมันอ่อน เขาเรียกว่า มันเข้าไปทรง อันนี้มันแบบว่ามันก็ไม่เชื่อในรัตนตรัยแล้ว พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เห็นไหม ไอ้นี่มันเป็นนอกศาสนาแล้ว

แต่ถ้าเวลาเราพูดกันนี่ ดูสิ เวลาประทับทรงแบบว่าไม่มีคุณภาพไง ตามบ้านนอกนี่เราว่า อันนี้ไสยศาสตร์ แต่นี่ถ้าพระมีชื่อเสียงหน่อยเข้าประทับทรงทำไมมันดูขลังล่ะ มันแปลก ทั้งๆ ที่หลักการคือผิดเหมือนกัน แต่ทำไมอันนี้ไม่ผิดล่ะ แล้วเวลาเราคุยกันในพระเราวิตกวิจารกันไง ว่าพระทั่วไปนี่พระประทับทรง พระให้หวยนี่ผิดหมดแล้ว นี่ก็ทำเหมือนกันเลย ทำไมมันถูกล่ะ อ้าว งงเหมือนกันนะ เพราะอะไร

เพราะคนศรัทธามันเชื่อ เพราะความเชื่อ เพราะรูปแบบ เพราะจัดตั้งแล้วเราเลยเชื่อกันไป พอเราเชื่อ จริงอยู่มันเป็นคุณภาพ อย่างเข้าทรง เห็นไหม เข้าทรงบ้านนอกก็ไปอย่างหนึ่ง เข้าทรงในกรุงเทพมันใช้คอมพิวเตอร์ด้วย แล้วเข้าทรงแบบ ดูสิ ดูอย่างกับราชวังโน่นเลย ทำสูงขึ้นไป ไสยศาสตร์ทั้งนั้นเลย เห็นไหม ถึงบอกว่าเป็นพราหมณ์ไง เป็นพราหมณ์ไม่ใช่พุทธ แล้วจะบอกว่าอันนี้เป็นพุทธแล้วอยู่ในศาสนาพุทธ เขาถึงบอกว่าธรรมะอิสระ ถ้าเป็นธรรมะอิสระ มันจะเกาะเกี่ยวกับมหายานก็ว่าไป เขาบอกเขาเป็นมหายานอยู่แล้ว แต่ดีอย่างหนังสือนี่

เรายังว่าเพราะสังคมสงฆ์เรามันมีปัญหามาก ฉะนั้นพอเขาจะเสนอออกมานี่ผู้มีปัญญาเข้าไปจับก่อนไง ถึงได้สรุปไว้เลยว่า แนวคิดนี้เป็นแนวคิดของมหายาน นี่เขาสรุปเลยว่าแนวคิดของมหายาน มันไม่ใช่แนวคิดเถรวาท ถ้าแนวคิดเถรวาทมันจะอยู่ในกรอบเขตของธรรมวินัย เชื่อพระพุทธเจ้าไง แต่นี้ที่ว่าถ้ามีพวกดอกเตอร์ มีพวกนักวิชาการเข้าไปจับก่อนนี่ มันทำให้คนเข้าไป มันจะได้เลือกได้ถูกต้องเลย ไม่ใช่เข้าไปแล้วมายุ่งทีหลังไง จะยุ่งทีหลัง นี่รับประกันได้ว่าจะยุ่ง อันนี้ก็จะยุ่งต่อไปอีก เพราะว่าต่อไปศาสนาสอนให้ มคฺค อริยสจฺจํ สัมมาอาชีวะ การงานชอบ ความเพียรชอบใช่ไหม นี่ถ้าเราเข้าไปแล้วให้ตรึกเอา ให้ขอเอานี่ มันไม่มีตรงนี้ไง มันไม่มีความเพียรชอบ ความอุตสาหะชอบ ต่อไปคนจะเข้าไปขอเอาๆ อยู่อย่างนั้นล่ะสิ พอขอเอานี่หลักการมรรคไปไหน

หลักการจริงๆ พระพุทธเจ้าสอนแล้วนี่ เขายังพูดอยู่ว่า พวกชี้แนะ พวกปริยัตินี่จะว่าปริยัติก็ไม่กล้าว่าตรงๆ เพราะปริยัตินี่พวกชี้แนะ ชี้แนะนี้เป็นผู้ชี้แนะ แต่คุรุคือผู้รู้จริงไง ตัวคุรุคือตัววิญญาณของเนื้อหาสาระไง คือความจริงในเนื้อหาสาระนั้น ต้องรู้เนื้อหาสาระนั้นถึงจะเป็นผู้ชี้ธรรม ทางได้

จริงอยู่ ครูคือผู้รู้จริง เห็นไหม ถึงบอกประสบการณ์ตรงของการประพฤติปฏิบัติ การภาวนา ปฏิบัติประสบการณ์ตรงเข้าไปมันจะรู้เลยว่าอะไรผิดอะไรถูก รู้หมด เพียงแต่ว่ามันละเอียดอ่อนจนแยกแยะไม่ได้ไง ฉะนั้นบางอย่างนี่ถ้ามันเริ่มต้นมันอาจจะแบบว่าคร่อมกัน คือว่า อาจจะถูกบ้างผิดบ้าง มันต้องให้ผู้ปฏิบัติลองเองไง อย่างสมาธิเข้ามานี่ต้องให้ลองเข้ามาก่อน แล้วมาชี้กันทีหลังว่าอันนี้ผิดอันนี้ถูกนะ แต่ถ้าไม่มีตรงนี้ปั๊บ เพราะเริ่มต้นมันต้องผิดมาก่อน ไม่มีใครเข้าแล้วถูกเลย

ฉะนั้นการสอนนี่มันปล่อยเข้ามาก่อนได้ ปล่อยคือหมายถึงว่าเริ่มต้นกรรมฐาน ๔๐ ห้องนี่จะเข้าถึงสมาธิได้หมด ได้หมดเลย กรรมฐาน ๔๐ ห้องเข้ามาได้หมด แต่ตอนยกขึ้นวิปัสสนานี่ตอนใช้ปัญญานี่ อันนั้นมันไม่ได้ใช้ปัญญานี่

ถ้าพูดตามหลักการเดียวกันที่ว่า จุดศูนย์กลางเข้าไปๆ อันนี้ก็เหมือนกัน ให้สว่างโพลงขึ้นมาๆ สว่างโพลงของมหายานเขานะ เขานั่งกันนะ เขาตัดนิ้วนะ เขาตีด้วยไม้นะ เวทนาคืออะไร เอาไม้ฟาดเลย เพื่อให้มันสะดุ้งขึ้นมาไง อันนี้เขาก็พูดอย่างนั้นเหมือนกัน เขาพูดอยู่ แต่พูดอยู่เพราะว่าอะไร เพราะหัวหน้าจิตยังดีอยู่ ถ้าหัวหน้านะ ถ้าคนที่อยู่นี่มันไม่ชำระกิเลส กิเลสอยู่ที่จิต กิเลสอยู่ที่ใจอยู่ ถ้ายังมีกิเลสอยู่ต่อไปความคิดนี่มันจะเขว มันยืนหลักนี้ไม่ได้ไง มันไม่สะอาดจริงไง

ถ้าสะอาดจริงนะ หลวงปู่ขาว เห็นไหม หลวงปู่ขาวอยู่ถ้ำกลองเพล โยมจะเข้ามากี่แสนคนก็แล้วแต่ ท่านสั่งพระไว้เลยนะ สอนโยมสองแสนคนได้สักสองคนไหม เทศน์สอนโยมนี่สองแสนคนเลย จะหยิบได้สักสองคนไหม นี่คนมีหลัก เห็นไหม มันตื่นกับตรงนั้นไง แล้วจะสอนเขาก็สอนอย่างที่สอนอย่างนี้เผยแผ่ธรรม เผยแผ่ออกไป แต่ไม่ต้องออกไปกว้านข้างนอก เพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่ปัญญาโลกจะมารู้ปัญญาธรรม ปัญญาโลกรู้ได้แค่ศรัทธา เห็นไหม ศรัทธา สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา เท่านั้น

ภาวนามยปัญญา ดูสิ เกือบตายอยู่นี่ อดอาหารเป็นพรรษาๆ นี่ยังเข้าไม่ถึง เห็นไหม ภาวนามยปัญญานี่เกิดยากมาก แต่ไม่พ้นวิสัยของมนุษย์ ถ้าจับหลักตรงนี้ถึงว่าเราจะเอาอะไร ถ้าจับหลักไม่ได้ก็จะว่าจะให้โยมรู้ธรรม ให้พระเป็นคนสอน บังคับได้หรือไม่ได้จะสอนอยู่อย่างนั้นแหละ นี่ถ้าสอนอย่างนั้นมันก็เคลื่อนไปๆ

ทำไมอาจารย์ถึงบอกว่า ภิกษุเราเป็นผู้ทรงธรรมทรงวินัย ภิกษุไม่สามารถทรงธรรมทรงวินัยได้ ทรงธรรมคือจิตเป็นสมาธิ จิตพัฒนาขึ้นมา ถ้าภิกษุไม่ทรงธรรมทรงวินัย ใครจะทรง นี่ต้องภิกษุนี้เป็นผู้ทรง ภิกษุไง ภิกษุเป็นผู้ไม่มีการงานทางโลกเขา แล้วภิกษุนี่ประพฤติปฏิบัติมีเวลามากไง วันทั้งวัน คืนทั้งคืนอัดกันอยู่กันตรงนี้ ต้องอัดกันอย่างตรงนั้น อัดเข้าไปๆ จนกว่าว่ามันจะเกิดเข้ามา เวลาตัวเองว่าว่าได้นะ เวลามันเกิดนี่ปัญญามันเกิดอย่างนั้น แต่สมถะตัวเองไม่เคยทำนี่

โธ่! อัปปนาสมาธิ ว่างหมดอย่างนี้ เข้าไปอย่างนี้ ตัดรูป รส กลิ่น เสียง หมดนะ จิตก็สักแต่ว่ารู้นี่ ลมหายใจขาด ทุกอย่างขาด จิตสงบไป ใจนี้สว่างหมด มันจะยิ่งกว่าฝนตกอีกน่ะ ฝนตกกับละอองฝนนั่นล่ะ นี่ความจริงเขาทำแค่นั้นไง เขาออกตัวไว้ ดอกเตอร์เหมือนกัน ออกตัวไว้นะว่าก็นี่คือคุรุของเขา เขาก็ต้องเคารพ อันนี้ก็ไม่ว่ากัน

แต่ที่ว่าไอ้อย่างนั้นนะ คนมันเพิ่งเข้าไปลองมันก็ว่าอันนั้นสำคัญแล้ว ถึงบอกว่ามันไม่มีอะไร ว่าอย่างนั้นเลย เป็นการตรึกเข้าไป ถ้าไม่เป็นการตรึกเข้าไปต้องพูดอะไรได้ ต้องบอกอะไรได้ นี่จะไม่บอกอะไรเลย เขาห้ามถามอีกต่างหากนะ ไม่บอกแล้วห้ามถาม